ชาเขียว มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Camellia sinensis ให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากมายหลายประการ โดยมีสารสำคัญที่ทำให้เกิดประโยชน์ (Active Health component)ที่เรียกว่า โพลีฟีนอล(Polyphenols) หรือเรียกกันทั่วไปว่า คาเทชิน (Catechins) ซึ่ง Catechins นี้จะปริมาณ 30-40% ของส่วนที่เป็นของแข็งที่สามารถสกัดได้จากใบชาเขียวแห้ง คาเทชินที่อยู่ในชาเขียว ประกอบไปด้วย
Epigalloatechin-3-gallate หรือ (EGCG)
Epicatechin-3-gallate
Epicatechin
Epigallocatechin
Gallocatechin gallate and Catechin
ในทั้งหมดนี้สารที่มีมากที่สุดคือ Epigallocatechin-3-gallate หรือ อี จี ซี จี (EGCG) ขนาดใบชาเขียวแห้ง 1 ซอง (1.5 กรัมต่อซอง) จะให้ EGCG ประมาณ 35-110 mg EGCG นับได้ว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในชาเขียวและมีปริมาณมากที่สุด มีความแรงของการต้านอนุมูลอิสระมากว่าวิตามินซี และวิตามินอี 25-100 เท่า การรับประทานชาประมาณ 1 แก้วต่อวัน จะให้สารต้านอนุมูลอิสระมากกว่ารับประทานแครอท บรอคเคอรี ผักโขมและสตอเบอร์รี ในขนาดที่รับประทานในแต่ละมื้อ ซึึ่่งมีงานวิัจัยรองรับมากมายถึงประโยชน์ของสารสำคัญตัวนี้อาทิเช่น
ช่วยลดความอ้วน ด้วยกลไกของการกระตุ้นปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมัน (Stimulates Fat Ooxidation) มีรายงานวิจัยที่มีข้อมูลสนับสนุนว่า EGCG ช่วยเพิ่มกระบวนการเผาผลาญพลังงานของเนื้อเยื่อไขมัน และมีรายงานการทดลองในคนแล้วว่า ช่วยลดความอ้วนได้ นอกจากนี้ มีงานวิจัยที่ำทำในคนไทยโดยแบ่งผู้ที่น้ำหนักเกินเป็นสองกลุ่ม ได้รับสารสกัดชาเขียว และยาปลอม กลุ่มที่ได้รับชาเขียวมีน้ำหนักน้อยกว่า 2.7, 5.1 และ 3.3 ก.ก. ในสัปดาห์ที่ 4,8 และ 12 ของการวิจัย
ช่วยลดไขมันในเลือด ได้ไม่มากนักแต่ก็มีงานวิจัยที่ดีรองรับสองงานวิจัย ในงานวิจัยแรกพบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีใขมันสูงการดื่มชาในปริมาณปานกลางหรือปริมาณมากร่วมด้วย จะลดปริมาณไขมันในเลือดชนิดโตรกลีเซอไรด์ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ในช่วง 6 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหารและดื่มชา โดยลดการเพิ่มระดับของไขมันชนิดไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดได้ถึง 15.1-28.7% อีกงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มชาประมาณสองถ้วยต่อวัน สามารถลดไขมันในเลือดชนิดโคเลสเตอรอลลงได้เล็กน้อย (119.9 เป็น 106.6 มก./ดล.) แต่ก็มีนัยสำคัญทางคลีนิก
ช่วยโรคเส้นเลือดอุดตัน มีรายงานวิจัยว่า สารสำคัญในชาเขียวสามารถลดการหดเกร็งของเส้นเลือดฝอยลดการเกิดตะกอน (Plaque) ในเส้นเลือดฝอย ทำให้ลดอุบัติการณ์ของโรคกล้ามเนื้อห้วใจตายจากการขาดเลือด (Myocardial Infarction) และอัมพฤกษ์ อัมพาตจากเส้นเลือดตีบตัน (Stroke) นอกจากนี้ EGCG ยังเป็นตัวยับยั้งการเกิดการสันดาป Oxidation ของโครเลสเตอรอล ทำให้ลดการเกิดการสะสมสร้างตะกอน (Plaque) ในเส้นเลือดจากโคเลสเตอรอลทำให้ลดการเกิดเส้นเลือดแข็งตัวตีบตัน (Atherosclerosis) และลดอุบัติการณ์ของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (Coronary Atherosclerosis)
ในงานวิจัยในสัตว์ทดลองยังลดการเกิดเส้นเลือดในปอดตีบตัน (Pulmonary Thrombosis) อีกด้วย ส่งให้เป็นผลดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดหัวใจ ไม่นานนี้มีงานวิจัยทางระบาดวิทยาในคนญี่ปุ่น พบว่า ผู้ที่ดื่มชาเขียวจะลดการเกิดโรคเส้นเลือดทางสมองทั้งโรคเส้นโลหิตในสมองแตก (Cerebralhemarrhage) และเส้นเลือดสมองตีบ (Cerebral infarction) ได้จริง
ต่อต้านอนุมูลอิสระ และต่อต้านมะเร็ง (Antiozidant and Anticancer) ชาเขียวมีผลต่อการยับยั้งการเกิดมะเร็งได้หลายชนิดทั้งในคนและสัตว์ เพราะมีฤทธิ์ทางด้านการต้านอนุมูลอิสระอย่างมากจากการวิเคราะห์งานวิจัยที่เชื่อถือได้ของ Cochrane Database ตีพิมพ์ล่าสุดจำนวน 51 งานวิจัยทั่วโลก แม้จะมีจำนวนงานวิจัยที่จำกัด พบว่าการดื่มชาเขียวลดอุบัติการณ์เกิดมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งตับ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งตับอ่อน อย่างไรก็ตามเมื่อกล่าวถึงชาเขียวญี่ปุ่นแล้วสามารถแบ่งแยกออกได้เป็นหลายเกรด เช่น
Gyokuro เป็นชาเขียวญี่ปุ่นที่ถือได้ว่าเป็นชาชั้นสูงที่สุด ซึ่งต้องปลูกภายใต้การดูแลเป็นพิเศษ เป็นใบชาที่ได้จากการปลูกแบบประคบประหงม ภายในร่มก่อนที่จะเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้กลิ่นและรสที่ดีที่สุด ชื่อของ Gyokuro สื่อถึงสีเขียวอ่อนของน้ำชาที่ชงออกมาแล้ว
มัทฉะ (Matcha) เป็นชาที่ต้องปลูกภายใต้การดูและเป็นพิเศษเหมือนกัน Gyokuro กล่าวคือ หลังจากที่ใบชาเริ่มแตกยอดนั้นจะไม่ให้ยอดใบชาถูกแสงแดดทำให้ชะลอการเติบโตของใบชา เป็นผลทำใ้ห้ใบชามีสีเขียวเข้มขึ้น มีการสร้างกรดอะมิโนซึ่งทำให้ใบชามีรสหวานขึ้นน แล้วเลือกเก็บเกี่ยวเฉพาะใยชาที่ดีที่สุดด้วยมือหลังจากนั้นแล้วใบชาที่ม้วนงอเป็นปกติก็จะถูกจัดเกรดเป็น Gyokuro ส่วนใบชาที่แผ่ออกเป็นใบ ก็จะำนำไปอบ แล้วป่นออกเป็นผง ซึ่งจะเรียกชาส่วนนี้ว่า เทนฉะ (techa) จากนั้นจะนำไปบดให้เป็นผงละเอียดด้วยครกหิน จนมีลักษณะเป็นผงละเอียดคล้ายแป้ง มีสีเขียวอ่อน ๆ ก็จะได้มัทฉะ
เซนฉะ (Sencha) เป็นชาเขียวชนิดที่นิยมดื่มกันทั่วไปในญี่ปุ่น ได้จากใบชาที่แตกยอดครั้งแรก และครั้งที่ 2 เซนฉะเป็นชาที่ผลิตและดื่มกันแพร่หลายคิดเป็น 80% ของปริมาณการผลิตชาทั้งประเทศ
โคนะฉะ (Konacha) ผลิตจากใบชาส่วนที่เหลือจากการทำ Gyokuro หรือ เซนฉะ ราคาจะถูกว่า และนิยมใช้ในร้านขายซูชิ
บังฉะ (Bancha) เป็นชาเกรดรองลงมาจากเซนฉะ ได้จากใบชาที่แตกยอดครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 ในช่วงระหว่างฤดูร้อนถึงฤดูใบไม้ร่วง
นอกจากนี้ยังมีชาอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิเช่น โฮจิฉะ (Hojicha), ฟงมัทซึฉะ (Funmatsucha) ฯลฯ
ดังนั้นเมื่อพูดถึง มัทฉะ แล้ว ก็จะหมายถึงใบชาญี่ปุ่นชั้นดีที่บดละเอียด และเป็นชาที่ถูกนำไปใช้ในพิธีชงชาของประเทศญี่ปุ่นมีพิธีการ อุปกรณ์ และวิธีชงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จากข้อมูลกระบวนการผลิตมัทฉะดังกล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นได้ว่ามัทฉะเป็นใบชาบดผง ซึ่งเมื่อนำมาใช้ในพิธีชงชาก็จะใช้ผงมัทฉะมาละลายเลย ดังนั้นการดื่มมัทฉะจึงเป็นการรับประทานใบชาทั้งใบ ต่างจาการดื่มชาแบบอื่นที่จะใช้ใบชาชงกับน้ำร้อน แล้วดื่มเฉพาะน้ำชาส่วนกากใบชาก็จะถูกทิ้งไป
ปัจจุับันนี้ได้มีการประยุกต์นำมัทฉะมาทำเป็นเครื่องดื่มร้อนปรุงสำเร็จ โดยนำผงมัทฉะมาผสมกับน้ำตาล นม และครีมเทียมบรรจุอยู่ในซอง เวลาจะรับประทานให้ชงกับน้ำร้อน คนให้ละลายเข้ากันก็จะได้ชาเขียวมัทฉะชงร้อนที่มีรสชาติของมัทฉะออกเข้ม ขมเล็กน้อย (ขมแบบชา) ผสมกับความหอมหวานของนม น้ำตาล และครีมเทียม กลายเป็นชาเขียวร้อนที่มีกลิ่นที่หอมรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีตะกอนอยู่บ้างเนื่องจากเป็นการรับประทานใบชาทั้งใบ นับได้ว่าเป็นอีกวิถีทางหนึ่งในการดื่มชาเขียว ที่ง่าย สะดวก ได้ประโยชน์จากชาเขียวทั้งหมด
นอกจากนี้อาจมีการเติมสารอาหารอื่นๆ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ซีลีเนียม ซึ่งตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่องการแสดงข้อความกล่าวอ้าง เกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหาร อนุญาตให้แสดงข้อความกล่าวอ้าง หน้าที่ของ ซีลีเนียมว่าซีลีเนียมมีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากมัทฉะ คือชาซึ่งมีคาเฟอีนเป็นองค์ประกอบอยู่ คล้ายกาแฟจึงมีข้อห้ามข้อควรระวังเหมือนกาแฟทั่ว ๆ ไปเช่นกัน เนื่องจากคาเฟอีนจะมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลาง และการเต้นของหัวใจจึงควรระวัง และห้ามรับประทานในผู้ป่วยไทรอยด์ ในระยะที่มีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ แต่เมื่อคุมอการของไทรอยด์ได้แล้วก็จะรับประทานได้ และไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ ใจสั่น รวมถึงผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน และโรคหัวใจเต้นเร็ว หรือผิดจังหวะด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น